ไอน์สไตน์พบ พระพุทธเจ้าเห็น (๙) มิติที่ ๔ มิติของเวลา
ตอนที่๕
เจ้าน้อย: ๙ มิติที่ ๔ มิติของเวลา ตอนที่๕
ในอดีตกาลมีผู้บรรลุอรหันต์หลายท่านที่ค้นพบความจริงแท้ในเรื่องมิติโดยที่ยังเป็นสามัญชนอยู่ ได้พบความพิศวง มหัศจรรย์ของมิติแห่งเวลามากมายซึ่งอยู่เหนือโลก
ดังนั้นผู้บรรลุอรหันต์ถ้ายังไม่รีบบวชเพื่อยกตนเข้าสู่โลกุตระจะเสียชีวิตภายในเจ็ดวันเพราะปรับตัวไม่ได้สำหรับผู้ที่มีฌาน
อภิญญา
สามรถใช้แสดงอภินิหารโดยกายละเอียด
ซึ่งอยู่นอกเหนือกฎเกณฑ์ทางฟิสิกส์
นักฟิสิกส์สามารถ “หยั่งรู้ในประสบการณ์” ถึงโลกแห่งกาล-อวกาศ
สี่มิติ
โดยผ่ายสูตรคณิตศาสตร์ในทฤษฎีของเขา
แต่มโนภาพของเขาก็ถูกจำกัดอยู่ในโลกแห่งการรับรู้อันมีสภาพสามมิติเช่นเดียวกับคนอื่น
ๆ ภาษาและแบบแผนความคิดของเราทั้งหมดเกี่ยวข้องกับโลกสามมิติดังนั้นจึงเป็นเรื่องที่ยากอย่างยิ่งที่เราจะเข้าใจความจริงของสภาพสี่มิติในฟิสิกส์แห่งสัมพัทธภาพได้
ซึ่งสำหรับการหยั่งรู้จากญาณทัศนะสามารถผุดออกมาชั่วแวบ และเข้าใจสภาพสี่มิติในทันที แต่ก็จะไม่สามารถอธิบายความเข้าใจนี้ให้ผู้อื่นรับรู้ได้ รู้ได้เฉพาะตน (ปัจจัตตัง) แต่ก็น่าแปลก
อัลเบริร์ต ไอน์สไตน์ ไม่เคยมีพื้นฐานการฝึกกรรมฐานเลย
แต่เขาเป็นนักวิทยาศาสตร์คนแรกของโลกที่สามารถหยั่งรู้มิติที่ ๔ ได้จากปัญญาญาน ป็นนักวิทยาศาสตร์คนแรกของโลกที่สามารถหยั่งรู้มิติที่
๔ ได้
จากปัญญาญาณ
เป็นนกัวิทยาศาสตร์ทางกายภาพคนแรกของโลกที่ทำได้เช่นนั้น แต่ทฤษฎีสัมพัทธภาพของเขาก็อยู่เหนือความเข้าใจของชาวโลกอีกกว่า
๔๐ ปี
จึงจะได้รับการยอมรับอย่างจริงจังถึงความถูกต้องในทฤษฎีนี้ ก่อนอัลเบิร์ต
ไอน์สไตน์
เคยมีมนุษย์เกิดขึ้นมาก่อนแล้วประมาณ ๖๐,๐๐๐
ล้านคน
แต่ไม่เคยมีนักวิทยาศาสตร์สักคนเฉลียวใจในเรื่องมิติที่ ๔ เลย ดังนั้นพอไอน์สไตน์คิดทฤษฎีสัมพัทธภาพได้เขาจึงกลายเป็นมนุษย์หมายเลขหนึ่งตลอดกาลของโลกทันที
มนุษย์เกิดขึ้นมาในโลกสามมิติสามารถทำความเข้าใจกับโลกสองมิติได้ เพราะเป็นมิติย่อยซ้อนอยู่ในระบบสามมิติ ยกตัวอย่างเช่นเราเข้าไปดูภาพยนตร์ ก่อนภาพยนตร์ฉายเราเห็นเส้นเล็ก ๆ สีขาวอยู่ที่กลางจอ นั่นคือโลกสองมิติ และเมื่อเราสวมแว่นแล้วเราเห็นวัตถุต่าง ๆ
ลอยออกมาจากจอก็คือภาพยนตร์สามมิติที่เราเรียกกันนั่นเองเราทำความเข้าใจถึงมิติที่ต่ำกว่าได้
แต่เราจะไม่มีทางใช้ระบบประสาทสัมผัสของเราไปทำความเข้าใจกับมิติที่สูงกว่าได้เลย ในทฤษฎีของฟิสิกส์มิติของจักรวาลมีได้ถึง ๑๒ มิติ
ยิ่งทำให้มึนงง
ใครพยายามคิดอาจเสียสติถึงขั้นบ้าได้
เพราะมิติที่ ๕-๑๒
เป็นมิติที่เล็กมากๆ
ต้องพิสูจน์ด้วยจิตเท่านั้น
เป็นเรื่องไม่ควรคิด
อย่างที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า
เรื่องของโลกและจักรวาลเป็นหนึ่งในสี่ของ “อจินไตย” มีทางเดียวที่จะรู้และเข้าใจได้ก็คือ ลงมือเจริญสติตามแนวสติปัฏฐาน ๔ ลงมือปฏิบัติกายและใจตามแนวไตรสิกขา คือ
ศีล สมาธิ และปัญญา
เพื่อให้เกิดปัญญาเห็นโลกเห็นธรรมตามความเป็นจริง และแม้เห็นแล้วเข้าใจแล้ว ก็เป็นการรับรู้ได้เฉพาะตน ไม่สามารถไปอธิบายให้คนอื่นรู้และเข้าใจได้
ในมิติที่สูงกว่านี้ เวลาไม่มีอยู่จริง รูปธรรมไม่มีอยู่จริง อดีต อนาคต ไม่มีอยู่จริง ทั้งหมดล้วนเป็นสิ่งสัมพัทธ์
อนาคตที่จุดหนึ่งก็อาจเป็นอดีตของจุดอื่นก็ได้ ดูเหมือนอัลเบิร์ต ไอน์สไตน์
ผู้ค้นพบความมหัศจรรย์ของเวลาก็เข้าใจในเรื่องนี้ เขาเคยพูดไว้ว่า “ความเด่นชัดที่เราเห็นระหว่างอดีต ปัจจุบัน
และอนาคต เป็นเพียง
ภาพลวงตาแต่เป็นภาพลวงตาที่ดื้อรั้น”
แค่เรื่องนี้ก็ยากแก่การเข้าใจแล้ว อย่าว่าแต่มิติที่สี่เลย แค่โลกสามมิติ
ถ้าเราเสียระบบประสาทสัมผัส
บางส่วนไปนับแต่เกิด เราก็ยังไม่เข้าใจเรื่องสามมิติอยู่ดี ยกตัวอย่างเรื่องจริงที่ต่างประเทศ มีคนคนหนึ่งตาบอดแต่กำเนิดมาจนอายุ ๓๐
จู่ๆ แพทย์ก็พบวีธีผ่าตัดให้ตาเขาสามารถมองเห็นได้ วันที่เขาเปิดตาออก เขามองโลกด้วยความงุนงง
เวลายืนบนดาดฟ้าตึกเขาแยกไม่ออกว่าถ้าเขาก้าวออกไปอีกก้าวเดียวจะตกตึกทันที เขาพยายามเอามือคว้าลูกแอ๊ปเปิ้ลในหนังสือ
ด้วยคิดว่ามันเหมือนกับแอ๊ปเปิ้ลที่อยู่บนโต๊ะ เวลาข้ามถนนเขาไม่เข้าใจว่ารถที่กำลังวิ่งมาด้วยความเร็วจะชนเขา แพทย์พยายามอธิบายถึงเรื่องสามมิติ เขาก็พอเข้าใจบ้าง แต่ในที่สุดก็ปรับตัวให้เข้ากับโลกสามมิติไม่ได้ เขาตัดสินใจฆ่าตัวตายในเวลาต่อมา
แม้แต่สิ่งมีชีวิตบนโลกนี้
สัตว์บางชนิดก็ยังเห็นโลกในมิติเดียวหรือสองมิติอยู่
มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตชนิดเดียวที่ใช้ประโยชน์จากมิติที่สามได้มากที่สุด
ธรรมชาติสร้างตาสองตาของมนุษย์ให้มองตรงกันไปทางด้านหน้า ซ้อนภาพซ้ายขวาทับกันออกมาเป็นสามมิติ แต่สัตว์โลกเกือบทุกชนิด
ธรรมชาติสร้างดวงตาให้เลยไปด้านข้างเล็กน้อย หรือบางทีอยู่ข้างลำตัวไปเลย เมื่อมองภาพสามมิติไม่ชัด
จินตนาก็ไม่เกิดสัตว์โลกพวกนี้จึงหยุดวิวัฒนาการของสมองไว้แต่เพียงเท่านั้น เคยมีการวิจัยสมองของปลาโลมาพบว่า
ศักยภาพที่แท้จริงของสมองโลมาไม่ได้แพ้มนุษย์เลย
แต่โลมาหยุดพัฒนาการเรียนรู้ไว้แค่นั้นก็เพราะโลมาไม่เห็นภาพแบบสามมิติ
โลมาไม่มีแขนที่ยื่นออกไปสู่มิติที่สามอย่างมนุษย์ นิ้วและแขนของมนุษย์
โดยเฉพาะอย่างยิ่งนิ้วหัวแม่มือที่งอพับได้ ประกอบกับลำตัวที่ตั้งตรงได้ฉากกับพื้นโลก ทำให้มนุษย์สามารถประดิษฐ์คิดค้นสิ่งใหม่ ๆ
ขึ้นในโลกสามมิติ
พระพุทธองค์จึงไม่พยายามอธิบายการค้นพบที่เกิดขึ้นในมิติที่สูงกว่านั้น เป็นเรื่องที่เข้าใจยาก
หรือถึงอธิบายก็ทรงอธิบายในเชิงเปรียบเทียบให้เห็น เพราะเป็นวิธีเข้าใจได้ง่ายที่สุด การอธิบายให้เห็นภาพให้เข้าใจ
ไม่ต้องถึงอธิบายข้ามิติ เฉพาะในมิติเดียวกันนี้
บางครั้งยังอธิบายให้เข้าใจไม่ได้
ยกตัวอย่างเช่น ลูกอ๊อดกับปลาเป็นเพื่อนกันในหนองน้ำ จนเมื่อลูกอ๊อดโตขึ้นกลายเป็นกบ
กระโดดออกจากหนองน้ำแห่งนั้นไปใช้ชีวิตบนบก อยู่มาวันหนึ่งคิดถึงปลาเพื่อนเก่าจึงดำน้ำลงไปหา เล่าให้ฟังว่า
ตอนนี้ขึ้นไปอยู่บนบก
รอบๆตัวไม่มีอะไรเหลวๆ ใสๆ แบบนี้หรอก
มีลมพัด แล้วมีแสงสว่างมากๆ ด้วยปลาได้ยินก็ถามว่า ข้าไม่เข้าใจมันเป็นยังไง ไม่มีของเหลวใสๆ แล้วมีแสงสว่าง มีลมพัด มันเป็นยังไง ไม่ว่าจะพยายามอธิบายเท่าไหร่ปลาก็ยังไม่เข้าใจ นี่ขนาดมิติเดียว คงต้องเลิกพูดถึงการอธิบายข้ามิติ
การอธิบายรูปธรรมด้วยสิ่งที่สัมผัสได้อย่างรูป
รส กลิ่น เสียง ผ่านทางตา หู จมูก ลิ้น กาย
ทั้งหมดนี้เป็นการสัมผัสในโลกของสามมิติ
การสัมผัสในโลกสี่มิติจะเป็นอายตนะที่สูงขึ้นไปเป็น “อรูป” ไม่ได้ มีเพียง “จิต” เท่านั้นที่สัมผัสได้
แต่ต้องไม่ใช่จิตธรรมดาด้วยต้องเป็นจิตที่ฝึกฝนให้เป็นสมาธิสูงสุดจนถึงขั้น
“อรูป” และถ้าจะสัมผัสไปถึงขั้นนิพพานก็ต้องพัฒนาจิตให้สูงขึ้นไปอีกหลายระดับ
นิพพาน คือ
ธรรมชาติที่บริสุทธิ์ เยือกเย็น
ความทุกข์ร้อนทั้งหลายดับสนิท
เป็นความว่างอย่างยิ่ง
เรื่องนี้ยากที่ปุถุชนจะเข้าใจได้เพราะเป็นสิ่งลุ่มลึก ยากที่จะเห็น
ยากที่จะรู้
ไม่ใช่สิ่งที่จะหยั่งถึงด้วยความคิด
ด้วยการคาดคะเน
หรือนึกจินตนาการเอาตามความเข้าใจของตนได้
จะต้องลงมือปฏิบัติฝึกวิปัสสนากรรมฐานจนมรรคญาณปรากฏขึ้น
จึงจะสามารถเข้าใจได้ว่ธรมชาติของนิพพานเป็นอย่างไร
อย่างไรก็ตาม การที่จะเข้าสู่
“อรูป” ได้ เราต้องละทิ้งความรู้สึกความทรงจำเก่าๆ ตัดเวทนา
สัญญา
วิญญาณให้หมดสิ้นไปซึ่งทั้งหลายทั้งปวงเหล่านี้มีจุดเริ่มต้นมาจากประสาทสัมผัสทั้งหลายของเรา
เพราะระบบประสาทสัมผัสถูกสร้างขึ้นมาจากการรับรู้และเข้าใจในโลกสามมิติ ถ้าเราตัดขาดจากสิ่งเหล่านี้ไม่ได้ การจะฝึกฝนจิตให้เป็นสมาธิสูงสุดจนถึงขั้น “อรูป” เพื่อเข้าสู่มิติที่สูงกว่าเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้เลย
จุดเริ่มต้นของกิเลสมนุษย์มาจากระบบประสาทสัมผัสทั้งสิ้น ตา หู จมูก ลิ้น กาย นำไปสู่การเกิดรูป รส
กลิ่น เสียง สัมผัส นำไปสู่การเกิดการปรุงแต่งเป็นความสวย อร่อย หอม ไพเราะ
นุ่มนวลกระตุ้นให้เกิดความอยาก ความยินดี
ชอบใจ และความปรารถนา
ซึ่งก็คือตัณหานั่นเอง“ตัณหา” คือเหตุแห่งทุกข์ เมื่อใดที่ดับตัณหาได้ ทุกข์เหล่านั้นจึงจะหมด วิธีเดียวที่จะดับ “ตัณหา” ได้ต้องเข้าถึงมรรค อันประกอบด้วยองค์ ๘ ซึ่งเมื่อย่นรวมกันแล้วจะเหลือเพียง ๓ คือ ศีล สมาธิ ปัญญา ตัณหามีตัวเร้าอยู่ ๖ ประการ ซึ่งเกี่ยวข้องกับประสาทสัมผัสทั้งสิ้นคือ ความอยากเกี่ยวกับรูป รส กลิ่น เสียง
และความอยากเสพอารมณ์ตัณหาย่อมละและดับได้ที่ตา
หู จมูก ลิ้น กาย ใจตัณหาย่อมละและดับได้ที่รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส
ธรรมรมณ์ตัณหาย่อมละและดับได้ที่การสัมผัสที่ตา
หู จมูก ลิ้น กาย ใจตัณหาย่อมละและดับได้ที่การรับรู้ที่ตา หู จมูก ลิ้น
กาย ใจตัณหาย่อมละและดับได้ที่ความอยากได้ในรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส ธรรมารมณ์ ตัณหาย่อมละและดับได้ที่ความประทับใจในรูป
เสียง กลิ่น รส สัมผัส ธรรมารมณ์ตัณหาย่อมละและดับได้ที่ความอาลัยอาวรณ์ในรูป
เสียง กลิ่น รส สัมผัส ธรรมารมณ์ระบบประสาทของมนุษย์ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อรับรู้สิ่งต่างๆ ในโลกสามมิติ
ตราบใดที่เรายึดอยู่กับระบบประสาทสัมผัส
อยากได้ ติดใจ ประทับใจ อาลัยอาวรณ์ในรูป
รส กลิ่น เสียง สัมผัส เมื่อนั้นเราจะไม่มีทางยกจิตของเราสู่มิติอื่นๆ
ที่เป็นสัจธรรมความจริงแท้ของจักรวาลได้เลย
พระพุทธองค์ทรงค้นพบว่า เหตุแห่งทุกข์ทั้งหลายเกิดขึ้นมาจากระบบประสาทสัมผัสทั้งหมดนี่เอง ซึ่งถ้าเราสามารถดับ “ตัณหา”
ได้
การเกิดดับของจิตก็ไม่เกิดขึ้นอีก
การเวียนว่ายตายเกิดก็ไม่มี
กระแสแห่งปฏิจจสมุปบาทก็หยุดลง
เป็นทางแห่งความดับทุกข์
(นิโรธ) ในการเดินเข้าสู่ “นิพพาน”อริยสัจ
๔ เป็นแก่นของพุทธศาสนา คือ ทุกข์ สมุทัย (เหตุแห่งทุกข์) นิโรธ (ความดับทุกข์) และมรรค (คือทางพ้นทุกข์) ถ้าเปรียบทุกข์คือไฟ เหตุแห่งทุกข์ (สมุทัย) ก็คือความร้อน ความดับทุกข์ (นิโรธ) ก็คือการเอาเชื้อไฟออกไป เมื่อไม่มีเชื้อไฟก็ไม่เกิด และหนทางที่จะพ้นทุกข์ (มรรค) ก็คือวิธีการดับไฟถ้าเราตัดไฟเสียแต่ต้นลม
ด้วยการเอาเชื้อไฟออกไปเสียแต่แรกก็ไม่ต้องมานั่งดับไฟที่ลุกโชนให้เสียเวลา เสียขวัญ
นั่นก็คือถ้าเราสกัดกั้นที่ระบบประสาทสัมผัส ตา หู จมูก ลิ้น กาย
ใจตั้งแต่แรก รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณก็ไม่เกิด
การเข้าไปยึดถือเอาว่าเป็นตัวเราหรือเป็นของเราก็ไม่มี
สภาวะของจิตที่พ้นจากความยึดมั่นผูกพันในสิ่งทั้งปวง ก็คือนิพพานนั่นเองเมื่อเห็นรูป “ผัสสะ” จะเกิด
แล้วส่งต่อมาที่ “เวทนา” จากเวทนาก็มาถึง “ตัณหา” แล้วจึงเลยไปเป็น
“อุปทาน” เป็นขั้นสุดท้าย ในช่วงรอยต่อของสิ่งขั้นนี้ จะตัดที่ขั้นตอนไหนก็ได้ แต่ถ้าปล่อยให้เลยเถิดมาถึง “อุปทาน” ก็สายเกินไปเสียแล้วอย่างไรก็ตาม
สิ่งหนึ่งที่ทำให้รู้สึกว่าธรรมชาติไม่ยุติธรรมก็คือธรรมชาติสร้างให้มนุษย์เพศหญิงมีโอกาสเข้าสู่มรรคผลนิพพานได้ยากกว่ามนุษย์เพศชาย เพราะความแรงแห่งกิเลสอันเกิดจากระบบประสาทสัมผัสที่ก่อให้เกิดขันธ์
๕
สำหรับผู้หญิงแล้วมากกว่าผู้ชายหลายเท่าตัวทีเดียว
เหตุที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะระบบประสาทสัมผัสของเพศหญิง ตา หู จมูก ลิ้น กาย
มีความไวกว่าเพศชายมาก
จมูกของเพศหญิงจะรับกลิ่นได้ไวกว่าเพศชาย
๒ เท่า ตาของเพศหญิงเห็นความหลากหลายของสีสันมากกว่าผู้ชาย
๓ เท่า
และเห็นในมุมมององศาที่กว้างกว่าผู้ชาย
ผิวหนังของเพศหญิงไวต่อการสัมผัสสูงกว่าผู้ชาย ๒-๓ เท่า หูของเพศหญิงมีความไวในการแยกชนิดเสียงต่างๆ
ได้ดีกว่าเพศชาย
จึงไม่ต้องสงสัยเหตุใดเพศหญิงจึงให้ความสำคัญยึดติดกับน้ำหอม ดอกกุหลาบ
เครื่องเพชร หรือเสื้อผ้าอาภรณ์ เพราะรูป
รส กลิ่น เสียง สัมผัส ที่เพศหญิงรับรู้ผ่านอายตนะชัดเจนกว่าเพศชายมาก กรรมมาจากผลของการรับรู้ผัสสะ คือรับรู้อารมณ์ทางตา รู้อารมณ์ทางหู รู้อารมณ์ทางจมูก
รู้อารมณ์ทางลิ้น รู้อารมณ์ทางกาย ดังนั้นการที่เพศหญิงจะดับกิเลส
ตัดกรรมเพื่อเข้าสู่มรรคผลนิพพาน
โดยรวมแล้วต้องใช้พลังมากกว่าเพศชายไม่น้อยกว่า ๒ เท่าตัว และตามปกติแล้วการที่จะบรรลุมรรคผลนิพพานได้
เพศหญิงจะต้องเกิดใหม่ในภพใหม่เป็นรูปของเพศชายอีกภพชาติ**
ทันตแพทย์สม สุจิรา
เยี่ยมมากครับ
ตอบลบ